การดูแลความสะอาดในโรงงานมีบทบาทสำคัญต่อประสิทธิภาพการผลิต คุณภาพของผลิตภัณฑ์ และสุขภาพความปลอดภัยของพนักงาน จากงานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสารด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (Journal of Occupational and Environmental Hygiene) พบว่าการลดฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้ในพื้นที่การผลิต สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจและเพิ่มความปลอดภัยด้านอาหารในอุตสาหกรรมอาหารและยาได้โดยตรง นอกจากนี้ หน่วยงานระดับสากล เช่น ISO (International Organization for Standardization), OSHA (Occupational Safety and Health Administration), NIOSH (National Institute for Occupational Safety and Health) และ WHO (World Health Organization) ต่างให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวปฏิบัติด้านสุขอนามัยอุตสาหกรรม เพื่อช่วยสถานประกอบการปรับปรุงคุณภาพและความปลอดภัยภายในสถานที่ผลิต

ความสำคัญของการทำความสะอาดโรงงานตามหลักวิจัย

  • คุณภาพของผลิตภัณฑ์: การควบคุมสารปนเปื้อน เชื้อโรค และฝุ่นละออง ช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีมาตรฐานสอดคล้องกับข้อกำหนดและผ่านการรับรองความปลอดภัยด้านอาหารและยาจากหน่วยงานเช่น FDA หรือ GMP
  • สุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน: พื้นที่สะอาด ช่วยลดความเสี่ยงอุบัติเหตุ ลดการลื่นล้ม และลดการสะสมเชื้อโรคที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพพนักงาน
  • ประสิทธิภาพการผลิต: พื้นที่ที่ปราศจากคราบสกปรก ช่วยให้เครื่องจักรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดเวลาหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุง และเพิ่มผลผลิตในระยะยาว

10 แนวทางทำความสะอาดโรงงานตามหลักวิจัยและมาตรฐานสากล

1. วางแผนตารางการทำความสะอาดอย่างเป็นระบบ

กำหนดรอบการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เช่น การดูดฝุ่นบนพื้นโรงงาน เช็ดทำความสะอาดเครื่องจักร และตรวจสอบอุปกรณ์เป็นระยะ เพื่อป้องกันการสะสมสิ่งสกปรก

2. เลือกใช้อุปกรณ์และวัสดุทำความสะอาดที่เหมาะสม

ใช้เครื่องดูดฝุ่นอุตสาหกรรมที่มีแผ่นกรอง HEPA เพื่อลดการฟุ้งกระจายของฝุ่น และเลือกผ้าไมโครไฟเบอร์เกรดอุตสาหกรรมเพื่อลดการทิ้งคราบเส้นใยบนพื้นผิว

3. ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน

เลือกน้ำยาทำความสะอาดและฆ่าเชื้อที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานน่าเชื่อถือ เช่น EPA หรือได้รับมาตรฐาน ISO 22000 และ GMP (Good Manufacturing Practice) สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและยา

4. แยกโซนทำความสะอาดตามประเภทงานและวัสดุ

ควรกำหนดโซนงาน เช่น พื้นที่แปรรูป พื้นที่บรรจุ พื้นที่จัดเก็บวัตถุดิบ และพื้นที่ผลิต เพื่อให้สามารถเลือกวิธีทำความสะอาดและสารเคมีที่เหมาะสมกับแต่ละโซน ลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนข้าม

5. ควบคุมคุณภาพอากาศภายในโรงงาน

ติดตั้งระบบระบายอากาศหรือเครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพตามคำแนะนำของ EPA และ WHO เพื่อลดการสะสมของเชื้อรา ฝุ่น และสารก่อภูมิแพ้ เพิ่มคุณภาพอากาศภายในโรงงาน

6. หมั่นตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องจักร

คราบน้ำมัน จาระบี หรือฝุ่นบนเครื่องจักรส่งผลต่อประสิทธิภาพการผลิต การหมั่นทำความสะอาดและบำรุงรักษาเครื่องจักรเป็นประจำ ช่วยยืดอายุการใช้งานและลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุในสายการผลิต

7. ส่งเสริมความรู้และฝึกอบรมพนักงาน

ให้ความรู้พนักงานเกี่ยวกับแนวปฏิบัติด้านสุขอนามัยอุตสาหกรรม และให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาความสะอาด เช่น เก็บขยะลงถัง เลี่ยงการทิ้งเศษวัตถุดิบบนพื้น การมีวัฒนธรรมความสะอาดร่วมกันช่วยรักษามาตรฐานในระยะยาว

8. ใช้วัตถุดิบธรรมชาติหรือลดการใช้สารเคมีรุนแรง

กรณีที่เป็นงานทำความสะอาดไม่รุนแรง สามารถใช้น้ำส้มสายชู เบกกิ้งโซดา หรือสารทำความสะอาดธรรมชาติอื่นๆ แทนสารเคมีรุนแรง เพื่อลดสารตกค้างและมลพิษในสิ่งแวดล้อม

9. ประเมินความเสี่ยงและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

ใช้ข้อมูลจากการตรวจสอบ เช่น การวัดปริมาณฝุ่นในอากาศ การตรวจสอบเชื้อโรคบนพื้นผิว ปรับปรุงกระบวนการทำความสะอาดตามข้อมูลวิจัยใหม่ๆ เพื่อรักษามาตรฐานสุขอนามัยให้ทันสมัย

10. ปฏิบัติตามมาตรฐานสากล

อ้างอิงแนวทางจากหน่วยงานสากลอย่าง ISO, OSHA, NIOSH และ WHO เพื่อให้แน่ใจว่าโรงงานของคุณมีมาตรฐานความสะอาด ปลอดภัย และเชื่อถือได้ ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อคู่ค้าและลูกค้า

อ้างอิง:

การนำแนวทางการ ทำความสะอาดโรงงาน ตามหลักวิจัยและมาตรฐานสากลเหล่านี้ไปปรับใช้ ไม่เพียงช่วยรักษาสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์และสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการผลิตให้กับลูกค้าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายอีกด้วย

ทำความสะอาด อย่างปลอดภัย โดยศึกษาข้อมูล หรือ รับบริการจากบริษัททำความสะอาดที่ไว้ใจได้ เพื่อสุขภาพ และความปลอดภัยของคุณ และพนักงาน

Share.

เจ้าของบริษัทรับทำความสะอาดครบวงจร มีประสบการณ์ด้านการทำความสะอาดมามากกว่า 20 ปี

Leave A Reply

Exit mobile version