ไรฝุ่น คืออะไร
ไรฝุ่น (อังกฤษ: Dust mites) เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก จัดอยู่ในกลุ่มแมง (Arachnid) มีขนาดประมาณ 0.2-0.3 มิลลิเมตร ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไรฝุ่นมักอาศัยอยู่ในที่อยู่อาศัยของเรา โดยเฉพาะบริเวณที่มีฝุ่นสะสม เช่น ที่นอน หมอน ผ้าห่ม โซฟา และพรม ไรฝุ่นไม่กัดหรือต่อยมนุษย์ แต่ปัญหาหลักมาจากมูลและชิ้นส่วนลอกคราบของมัน ซึ่งสามารถกระตุ้นอาการภูมิแพ้ เช่น จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล หายใจติดขัด และอาจกระตุ้นโรคหอบหืดได้
จากข้อมูลของ American Lung Association และ WHO (World Health Organization) การลดการสะสมของไรฝุ่นในที่อยู่อาศัยเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดอาการภูมิแพ้และปัญหาระบบทางเดินหายใจได้อย่างมีนัยสำคัญ

อันตรายที่คุณไม่ควรมองข้าม ทำไมไรฝุ่นถึงก่อปัญหาสุขภาพ
ไรฝุ่น ชอบอาศัยในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นและอุณหภูมิพอเหมาะ เช่น ภายในที่นอนและหมอน ซึ่งเต็มไปด้วยเศษผิวหนังมนุษย์ที่หลุดร่วงเป็นอาหารของพวกมัน มูลของไรฝุ่นประกอบด้วยโปรตีนที่เมื่อเราสูดหายใจเข้าไปหรือสัมผัสอาจกระตุ้นให้เกิดอาการภูมิแพ้ ในผู้ที่เป็นหอบหืด อาจทำให้อาการกำเริบและมีความรุนแรงมากขึ้น
อัตราการพบไรฝุ่นในที่อยู่อาศัย:
- การสำรวจในหลายประเทศพบว่า 70–100% ของบ้านเรือน ทั่วโลกมีไรฝุ่นปะปนอยู่ในฝุ่นภายในบ้าน
- งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า มากกว่า 80–90% ของบ้านในประเทศไทย ตรวจพบไรฝุ่นชนิด Dermatophagoides pteronyssinus และ Dermatophagoides farinae
- วารสารการแพทย์ไทยและวารสารระดับนานาชาติ เช่น “The Journal of the Medical Association of Thailand (J Med Assoc Thai)” และ “Asian Pacific Journal of Allergy and Immunology” มีการตีพิมพ์งานวิจัยที่ชี้ว่าความชุกและความหนาแน่นของ ไรฝุ่นในไทย อยู่ในระดับสูง
ปริมาณไรฝุ่นในที่นอนและเครื่องนอน:
- โดยทั่วไป ภายในที่นอนอาจมีไรฝุ่นตั้งแต่หลัก แสนถึงหลายล้านตัว ต่อที่นอนหนึ่งหลัง
- หมอนที่ใช้งานมานานสามารถพบไรฝุ่นและซากของมันหนักถึง 10% ของน้ำหนักหมอน
- การศึกษาพบว่าปริมาณสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น (Der p 1 และ Der f 1) ในบ้านคนไทยมักสูงเกินระดับเสี่ยงที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ โดยส่วนใหญ่มักเกิน 2 ไมโครกรัมต่อกรัมฝุ่น และพบว่าระดับเกิน 10 ไมโครกรัมต่อกรัมฝุ่น มีความสัมพันธ์กับอาการหอบหืดที่รุนแรงขึ้นในผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ไรฝุ่น
ความสัมพันธ์กับโรคภูมิแพ้และหอบหืด:
- ทั่วโลกมีรายงานว่าคนที่เป็นโรคหอบหืดมีอาการแพ้ไรฝุ่นอยู่ที่ราว 50–80%
- ในสหรัฐอเมริกา มีผู้แพ้ไรฝุ่นประมาณ 20 ล้านคน
- ค่าความเข้มข้นของสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นที่เกิน 2 ไมโครกรัม ต่อฝุ่น 1 กรัม เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ และหากเกิน 10 ไมโครกรัม ต่อฝุ่น 1 กรัม จะสัมพันธ์กับอาการหอบหืดรุนแรงขึ้น
- ไรฝุ่นถือเป็นสารก่อภูมิแพ้ในอากาศที่สำคัญที่สุดในกลุ่มผู้ป่วยภูมิแพ้ และหอบหืดในไทยงานวิจัยในผู้ป่วยภูมิแพ้ทางจมูก (Allergic Rhinitis) และผู้ป่วยหอบหืดในโรงพยาบาลใหญ่ เช่น โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี และสถาบันที่เกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้ในประเทศไทย พบว่า 60–80% ของผู้ป่วยภูมิแพ้ มีปฏิกิริยาทดสอบทางผิวหนัง (Skin Prick Test) เป็นบวกต่อไรฝุ่น
- ข้อมูลจากสาขาภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล และ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มีรายงานและงานวิจัยที่ยืนยันถึงความสำคัญของไรฝุ่นในฐานะสารก่อภูมิแพ้หลัก
สายพันธุ์ไรฝุ่นที่พบทั่วโลก:
- สายพันธุ์ที่พบทั่วไปคือ Dermatophagoides pteronyssinus และ Dermatophagoides farinae โดยมีการแพร่กระจายอย่างกว้างขวางในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก
การแพร่กระจายตามสภาพอากาศ:
- ไรฝุ่นมักชุกชุมในสภาวะที่มีความชื้นสัมพัทธ์สูงกว่า 50–60% และอุณหภูมิประมาณ 20–25°C
- ในภูมิภาคที่มีอากาศชื้นพบความหนาแน่นของไรฝุ่นสูงกว่าภูมิภาคที่แห้ง
ภาระทางเศรษฐกิจและระบบสุขภาพ:
- ค่าดูแลรักษาผู้ป่วย แพ้ไรฝุ่น และโรคหอบหืด ที่เกี่ยวข้องมีมูลค่ารวมระดับโลกหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (แม้ตัวเลขจะแตกต่างตามแหล่งข้อมูล แต่สะท้อนให้เห็นภาระเศรษฐกิจที่สูง)

ตารางเปรียบเทียบวิธีการกำจัดไรฝุ่น จากสถาบันระดับโลก
วิธีการกำจัดไรฝุ่น | ประสิทธิภาพ | ข้อควรปฏิบัติ | แหล่งอ้างอิง |
---|---|---|---|
ซักเครื่องนอนด้วยน้ำร้อน (55-60°C) | สูง – กำจัดไรฝุ่นและมูลได้ดี | ซักสัปดาห์ละครั้ง ใช้น้ำร้อนและอบแห้งด้วยความร้อน | AAAAI, WHO |
ใช้ปลอกหมอนและที่นอนกันไรฝุ่น | สูง – ลดสารก่อภูมิแพ้ในที่นอน | ใช้ปลอกทอแน่นพิเศษ และหมั่นซัก | Journal of Allergy and Clinical Immunology |
ควบคุมความชื้น (30-50%) | ปานกลาง – ลดการเจริญเติบโตของไรฝุ่น | ใช้เครื่องลดความชื้น เปิดหน้าต่างวันอากาศแห้ง | EPA |
เครื่องดูดฝุ่น HEPA | ปานกลาง – ลดฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้ | ดูดฝุ่นพื้นและเฟอร์นิเจอร์ 1-2 ครั้ง/สัปดาห์ | American Lung Association, NIOSH |
ลดการใช้พรมและผ้าสะสมฝุ่น | สูง – ลดแหล่งที่อยู่ของไรฝุ่น | ใช้พื้นแข็ง ซักม่าน เก็บตุ๊กตาในกล่องปิด | WHO |
เครื่องฟอกอากาศ HEPA | ปานกลาง – กรองฝุ่นในอากาศ | ตั้งในห้องนอน เปลี่ยนไส้กรองตามกำหนด | AAAAI |
ตากที่นอน หมอน ผ้าห่มกลางแดด | ปานกลาง – ลดความชื้น ยับยั้งไรฝุ่น | ตากแดดบ่อย ในวันอากาศแห้ง | NCBI |
ทำความสะอาดผ้าม่านและเฟอร์นิเจอร์ผ้า | ปานกลาง – ลดคราบฝุ่นสะสม | ซักเป็นประจำหรือเปลี่ยนปลอกหุ้ม | WHO |
ควบคุมแหล่งอาหาร (เศษผิวหนัง) | ปานกลาง – ลดจำนวนไรฝุ่นในระยะยาว | อาบน้ำก่อนนอน เปลี่ยนผ้าปูที่นอนสม่ำเสมอ | Allergy, European Journal of Allergy |
ปรับรูปแบบการจัดห้อง อากาศถ่ายเท | ปานกลาง – ทำความสะอาดง่าย ลดความชื้น | จัดห้องโปร่ง เปิดหน้าต่างรับแสงธรรมชาติ | EPA |

10 วิธีกำจัดไรฝุ่น ตามหลักวิจัย เพื่อสุขภาพและอากาศภายในบ้านที่ดี
ไรฝุ่น (Dust Mites) เป็นสาเหตุสำคัญของอาการภูมิแพ้และหอบหืดที่พบบ่อยในที่อยู่อาศัย งานวิจัยจากหน่วยงานสุขภาพและสิ่งแวดล้อมระดับสากล เช่น WHO (World Health Organization), AAAAI (American Academy of Allergy, Asthma & Immunology) และ EPA (Environmental Protection Agency) ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการลดสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้านเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น การกำจัดไรฝุ่นและลดการสะสมของมันจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณหายใจสะดวกขึ้น ลดความเสี่ยงต่ออาการภูมิแพ้ และเสริมสุขภาวะของทุกคนในครอบครัว
1. ซักชุดเครื่องนอนด้วยน้ำร้อนเป็นประจำ
การซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าห่มด้วยน้ำร้อนอุณหภูมิประมาณ 55-60°C อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สามารถกำจัดไรฝุ่นและมูลของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามคำแนะนำจาก AAAAI น้ำร้อนจะช่วยฆ่าไรฝุ่นได้ดีกว่าการซักด้วยน้ำเย็น และการอบแห้งด้วยความร้อนยังช่วยลดความชื้นที่เป็นสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของไรฝุ่น
2. ใช้ปลอกหมอนและที่นอนกันไรฝุ่น
เลือกใช้ปลอกหมอนและที่นอนชนิดกันไรฝุ่น (Allergen-proof Covers) ที่ทอแน่นพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้ไรฝุ่นเข้าไปอาศัยด้านในเครื่องนอน งานวิจัยที่เผยแพร่ใน Journal of Allergy and Clinical Immunology สนับสนุนว่าการใช้ปลอกกันไรฝุ่นช่วยลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ได้อย่างมีนัยสำคัญ
3. ควบคุมความชื้นภายในห้อง
การรักษาระดับความชื้นภายในบ้านให้อยู่ที่ 30-50% ตามแนวทางของ EPA จะช่วยลดการเจริญเติบโตของไรฝุ่น เพราะไรฝุ่นชอบสภาพแวดล้อมที่ชื้น ควรใช้เครื่องลดความชื้น (Dehumidifier) หรือเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศในวันที่อากาศไม่ชื้นเกินไป
4. ทำความสะอาดพื้นและเฟอร์นิเจอร์ด้วยเครื่องดูดฝุ่น HEPA
ใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีแผ่นกรอง HEPA (High-Efficiency Particulate Air) เพื่อดักจับฝุ่นขนาดเล็กและสารก่อภูมิแพ้ตามคำแนะนำจาก American Lung Association การดูดฝุ่นเป็นประจำ (สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง) บนพื้นและโซฟา รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสัมผัสอ่อนนุ่ม จะช่วยลดการสะสมไรฝุ่นและมูลของมัน
5. ลดการใช้พรมและสิ่งทอสะสมฝุ่น
พรม ผ้าม่านหนา และตุ๊กตาเป็นแหล่งสะสมฝุ่นชั้นดี การลดจำนวนหรือเลือกใช้วัสดุที่ทำความสะอาดง่าย เช่น พื้นไม้หรือกระเบื้อง ม่านที่ซักได้ง่าย จะช่วยลดแหล่งอาหารและที่อยู่ของไรฝุ่น ตามผลการศึกษาจาก National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH)
6. เลือกใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรอง HEPA
เครื่องฟอกอากาศที่ผ่านการรับรองจากหน่วยงานน่าเชื่อถือ และมีแผ่นกรอง HEPA สามารถดักจับฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศได้ การใช้เครื่องฟอกอากาศร่วมกับการทำความสะอาดประจำ จะช่วยลดปริมาณไรฝุ่นในอากาศ ตามคำแนะนำจาก AAAAI
7. หมั่นตากที่นอนและหมอนกลางแดด
แสงแดดมีส่วนช่วยลดความชื้นและยับยั้งการเจริญเติบโตของไรฝุ่น การนำที่นอน หมอน และผ้าห่มไปตากแดดเป็นประจำจะช่วยลดประชากรไรฝุ่นได้ อ้างอิงจากงานวิจัยที่สรุปใน NCBI (National Center for Biotechnology Information)
8. ทำความสะอาดผ้าม่านและสิ่งทออื่น ๆ เป็นประจำ
ผ้าม่าน โซฟาผ้า และหมอนอิงควรซักหรือเปลี่ยนเป็นระยะ เพื่อป้องกันการสะสมไรฝุ่น กำจัดคราบฝุ่นตามมาตรฐาน ความสะอาด ที่แนะนำโดย WHO
9. ควบคุมแหล่งอาหารของไรฝุ่น
ไรฝุ่นกินเศษผิวหนังมนุษย์ที่หลุดร่วง การรักษาความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนอน และหมั่นเปลี่ยนผ้าปูที่นอน จะลดปริมาณเศษผิวหนังหมุนเวียนภายในห้อง ส่งผลให้ไรฝุ่นมีอาหารน้อยลง (อ้างอิงจากงานวิจัยใน Allergy, European Journal of Allergy and Clinical Immunology)
10. ปรับรูปแบบการจัดห้องให้โปร่งและอากาศถ่ายเท
จัดเฟอร์นิเจอร์ให้มีพื้นที่โล่ง ทำความสะอาดง่าย และเปิดหน้าต่างให้แสงแดดและอากาศบริสุทธิ์เข้ามา จะช่วยลดความชื้นและปริมาณฝุ่นในห้องได้ ตามคำแนะนำด้านสุขอนามัยภายในอาคารของ EPA

สรุปหลักการกำจัดไรฝุ่น วิธีที่ง่ายที่สุดโดยสะอาดจัง
1. การซักและทำความสะอาดที่นอนและเครื่องนอนอย่างสม่ำเสมอ
- ซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม ด้วยน้ำร้อน (อุณหภูมิประมาณ 55-60°C) อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อฆ่าไรฝุ่นและล้างมูลของมันออกไป
- หากไม่สามารถซักด้วยน้ำร้อน ใช้น้ำยาฆ่าไรฝุ่นหรือนำเครื่องนอนไปอบแห้งด้วยอุณหภูมิสูงแทน
2. เลือกวัสดุเครื่องนอนที่ลดการสะสมของไรฝุ่น
- ใช้ปลอกหมอนและที่นอนกันไรฝุ่นซึ่งเป็นผ้าที่มีรูเล็กเกินกว่าไรฝุ่นจะผ่านได้ ช่วยป้องกันไม่ให้ไรฝุ่นเข้าไปอาศัยอยู่ด้านใน
3. ควบคุมความชื้นภายในห้อง
- รักษาความชื้นในอากาศให้อยู่ในระดับ 30-50% ตามคำแนะนำของ EPA (Environmental Protection Agency) ซึ่งจะทำให้สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของไรฝุ่น
- เปิดหน้าต่างหรือใช้เครื่องลดความชื้น (Dehumidifier) เพื่อลดความชื้นภายในห้อง
4. ทำความสะอาดพื้นและเฟอร์นิเจอร์ด้วยเครื่องดูดฝุ่นประสิทธิภาพสูง
- ใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีแผ่นกรอง HEPA เพื่อลดการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองและสารก่อภูมิแพ้ตามคำแนะนำของ American Academy of Allergy, Asthma & Immunology (AAAAI)
- หมั่นเช็ดทำความสะอาดพื้นผิวและเฟอร์นิเจอร์ด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์เพื่อลดการสะสมของฝุ่น
5. ลดสิ่งทอและวัสดุที่สะสมฝุ่นในห้องนอน
- หากเป็นไปได้ ลดการใช้พรม ม่านหนา ตุ๊กตา หรือผ้าห่มลายขนสัตว์ เพราะเป็นแหล่งสะสมของฝุ่นและไรฝุ่น
- เลือกใช้ม่านหรือผ้าม่านที่ถอดซักง่าย และหมั่นซักบ่อยๆ
6. จัดห้องให้โปร่งและมีอากาศถ่ายเท
- จัดเฟอร์นิเจอร์ให้มีพื้นที่รอบตัว ทำความสะอาดง่าย
- เปิดหน้าต่างให้แสงและอากาศบริสุทธิ์เข้ามา เพื่อไล่ความอับชื้นที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของไรฝุ่น
7. พิจารณาใช้เครื่องฟอกอากาศ
- เครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรอง HEPA สามารถดักจับฝุ่นละอองและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศได้
- ตามงานวิจัยบางส่วน เครื่องฟอกอากาศช่วยลดอาการภูมิแพ้ในผู้ที่ไวต่อไรฝุ่นได้
8. บริการจากบริษัทที่มีเครื่องดูดกำจัดไรฝุ่นคุณภาพสูง
ใช้บริการจากบริษัท CJM GROUP ซึ่งใช้เครื่องดูดไรฝุ่นที่มีเทคโนโลยี HEPA และ UV-C ช่วย กำจัดไรฝุ่น และสารก่อภูมิแพ้ได้มากกว่า 99.9% พร้อมระบบการกรองที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ใช้งานโดยทีมงานมืออาชีพที่เชี่ยวชาญ ดูแลทำความสะอาดได้ลึกถึงซอกมุมและทุกพื้นผิว เพิ่มประสิทธิภาพการทำความสะอาดให้ดียิ่งขึ้น
อ้างอิง
- American Lung Association: https://www.lung.org/
- WHO (World Health Organization): https://www.who.int/
- EPA (Environmental Protection Agency): https://www.epa.gov/
- AAAAI (American Academy of Allergy, Asthma & Immunology): https://www.aaaai.org/
จากแนวทางเหล่านี้ การกำจัดไรฝุ่น และลดการสะสมของมันในบ้านจะเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อพื้นที่ใช้สอยของเราปราศจากสารก่อภูมิแพ้ จะช่วยเสริมสุขภาพทางเดินหายใจและคุณภาพชีวิตของสมาชิกในครอบครัวให้ดียิ่งขึ้น ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวค่ะ!